designhotelsguide.com
นี้ ทำให้ ณ สิ้นปี 2564 สัดส่วนของทองคำในเงินสำรองฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่อัตรา 5. 76% จากอัตรา 3. 62% ณ สิ้นปี 2563 คิดเป็นมูลค่าราว 14, 176 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4. 76 แสนล้านบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยน 33.
ค. ) ราคาทองคำในประเทศไทยได้พุ่งทะลุบาทละ 31, 000 บาทไปเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่ได้มีคาดการณ์ตัวเลขดังกล่าวไว้ในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา (ก. พ. 65) จากข้างต้น ธปท. ที่ถือเป็นนักลงทุนสถาบันจึงถูกคาดว่าจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก จากการ สำรองทองคำ ไว้ในระดับสูง ดังนั้น "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" จะพาไปสำรวจทองคำสำรองในมือของธปท. ว่า ในวันที่ราคาทองพุ่งขึ้นสูงเช่นนี้ มีมูลค่ามากขนาดไหน ย้อนดูความเคลื่อนไหวการสำรองทองคำของธปท. ในปี 2564 ที่ผ่านมา ณ สิ้นปี 2563 ไทยมีทองคำสำรองที่ราว 154 ตัน มูลค่ารวม 9, 344 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนที่ 3. 62% ของเงินสำรองระหว่างประเทศทั้งหมด โดยครองอันดับที่ 26 ของโลก และอันดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่างไรก็ตาม ปี 2564 ที่ผ่านมา ธปท. ได้ขยับตัวใน ตลาดทองคำ ครั้งยิ่งใหญ่ กลายเป็นนักลงทุนสถาบันผู้ซื้อทองคำสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยสามารถแจงเป็นไทม์ไลน์ได้ดังนี้ - ไตรมาส 1/2564 ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ทองสำรอง ของไทยนั้นยังมีปริมาณคงตัวจนสิ้นสุดไตรมาส โดยผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ในไตรมาสนี้ คือ ญี่ปุ่น ที่สำรองทองเพิ่มขึ้น 80. 76 ตัน - ไตรมาส 2/2564 ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของไทย โดยธปท.
33 จนทำให้เกิดการเรียกอีกแบบว่าคือสเกล 1. 33: 1 นั่นเอง (มันซับซ้อนน้อยกว่าเดิมตรงไหน ใครช่วยบอกที) และหลายครั้งทั้งสองวิธีการก็ถูกเรียกสลับไปมาตามความนิยมจนชวนงงมาก ซึ่งบทความนี้ก็อาจทำให้ทุกคนงงได้เช่นกัน ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปด้วยกันนะครับ ทีนี้ ในส่วนของภาพยนตร์ฉายโรงในยุคแรกเริ่มโบร่ำโบราณ ก็ได้มีการใช้สเกล 4: 3 หรือ 1. 33: 1 เหมือนกับทีวีเช่นกัน ก่อนที่จะมีการพัฒนามาเรื่อยๆ อีกหลายขนาดเพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษในโรงภาพยนตร์ จนหนึ่งในนั้นได้เกิดกลายเป็นสเกล 1. 85: 1 ขึ้น ซึ่งนั่นคือสเกลภาพแบบที่คนดูหนังโรงปัจจุบันส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า 'ฉายแบบไม่ขยายจอสุด' หรือใกล้เคียงกับ 16: 9 ในปัจจุบันนั่นเอง และในขณะเดียวกัน ก็มีสเกลภาพที่มีขนาดกว้างออกทางซ้าย-ขวากว่านั้นเป็นอีกมาตรฐานหนึ่งสำหรับหนังโรง นั่นคือสเกล 2. 35: 1 หรือถ้านั่งอยู่ในโรงหนัง มันคือการ 'ฉายแบบขยายจอสุด' นั่นล่ะครับ แม้ระหว่างทางจะมีการพัฒนาสเกลภาพออกมาอีกมากมาย แต่สุดท้ายแล้วสองสเกลนี้ก็อาจถือได้ว่าเป็นมาตรฐานของหนังโรงมายาวนาน ซึ่งสุดท้ายก็มีคนเรียกสรุปตัวเลขสองชุดนี้ออกมาเป็นคำง่ายๆ ว่า หนังที่ถ่ายเป็น 1. 85: 1 คือหนังที่ถ่ายมาแบบ Flat ส่วน 2.
"สัดส่วน" หรือศัพท์การตัดต่อเขาเรียกว่า Aspect Ratio คือคำเรียกที่แปลให้เข้าใจง่ายๆ ว่าขนาดของคลิปวิดีโอนั่นเอง โดยเป็นการคำนวนจาก กว้างxยาว Aspect Ratio นั้นจะไม่ได้มีหน่วยเป็น Pixel แต่จะเป็นตัวเลขที่บอกให้คนทำวิดีโอเข้าใจได้ว่าภาพที่จะออกมานั้นจะเป็นแบบไหน แนวตั้ง แนวนอน สี่เหลี่ยมจตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นต้น โดยตัวเลขที่เราคุ้นตากันก็จะมี อาทิ 4:3 (อ่านว่า 4 ต่อ 3) 16:9 หรือ 1:1 เป็นต้น ถ้าอย่างนี้หากต้องทำคลิปวิดีโอเองไม่ต้องมานั่งคำนวนให้วุ่นวายหรอ? คำตอบคือ "ไม่ต้อง" เพราะอันที่จริงสัดส่วนที่ว่านี้ก็สัมพันธ์กับตัวเลขที่มีหน่วยเป็น Pixel ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราได้รวบรวมขนาดของวิดีโอต่างๆ มาเพื่อที่คุณนำหยิบไปใช้ได้ง่ายๆ ดังนี้ จอโทรศัพท์สมาร์ทโฟน Aspect Ratio = 9: 16 Resolution = 1080 x 1920px จอแท็บเล็ต Aspect Ratio = 3: 4 Resolution = 1536 x 2048px จอคอมพิวเตอร์ และโทรทัศน์ Aspect Ratio = 4: 3 Resolution = 1024 x 768px Aspect Ratio = 16: 9 Resolution = 1920 x 1080px (Standard HDTV) วิดีโอสี่เหลี่ยมจตุรัส Aspect Ratio = 1: 1 Resolution = 1080 x 1080px แล้วถ้าใช้วิดีโอที่สัดส่วนไม่ตรงกับจอ จะเกิดอะไรขึ้น?
จริงๆ แล้ววิดีโอไม่ว่าจะขนาดอะไรก็สามารถแสดงบนหน้าจอต่างๆ ได้แต่หากคุณทำวิดีโอที่สัดส่วนไม่ตรงกับหน้าจอที่ใช้แสดงผลสิ่งที่จะได้ก็คือ "แถบสีดำ" คุณเคยไหมเมื่อซื้อภาพยนต์สักเรื่องมาดูที่บ้านแล้วจะเห็นแถบสีดำด้านบน-ล่างจอ หรือดูคลิปวิดีโอแนวตั้งในคอมพิวเตอร์แล้วมีขอบสีดำทั้งสองข้าง นั่นแหละคือความต่างของ Aspect Ratio เท่ากับว่า หากคุณไม่ต้องการให้มีแถบสีดำๆ บนหน้าจอล่ะก็ คุณแค่ทำวิดีโอให้มีสัดส่วนเท่ากับจอภาพที่จะไปแสดงผลเท่านั้นเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมปัจจุบันวิดีโอแนวตั้งถึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เพราะคนส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือในการดูวิดีโอและแน่นอนว่าพวกเขาดูในแนวตั้ง!